วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

สังเกตอาการโรคหลอดเลือดสมอง Stroke ภัยเงียบที่น่ากลัว


โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke หลายคนคงคุ้นชื่อของโรคนี้อยู่บ้างแล้ว ความน่ากลัวของโรคนี้ คือ เป็นโรคที่ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เพราฉะนั้นเราควรจำเป็นต้องรู้และรู้จักสังเกตอาการของโรคหลอดเลือดสมอง เพื่อที่จะได้ดูแลตัวเราและคนในครอบครัวได้ทันท่วงที

การสังเกตอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ใช้หลักการจำแบบ F A S T
F = FACE ใบหน้า
อาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง มีอาการใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว น้ำลายไหลออกจากมุมปากข้างที่ตก
A = ARM แขน
อาการแขน ขา อ่อนแรงข้างใด ข้างหนึ่งของร่างกาย
S = SPEECH การพูด
พูดไม่ชัด พูดลำบาก พูดติดๆขัดๆ พูดไม่ได้ สับสน นึกคำพูดไม่ออก
T = TIME
รู้เวลาที่เกิดอาการผิดปกติ คือ รู้ว่าเริ่มมีอาการเป็นเวลาเท่าไหร่นับจากที่มีอาการผิดปกติ หรือนับจากเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการปกติเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และควรรีบมาโรงพยาบาลให้ทันเวลา ให้เร็วที่สุด ภายใน 4.5 ชั่วโมง

นอกจากนี้ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ยังมีอาการปวดศีรษะ มึน งง และบางรายยังมีอาการด้านการมองเห็นร่วมด้วย อาจมองเห็นภาพซ้อน เห็นภาพครึ่งเดียว ตาบอดหนึ่งหรือสองข้าง

อาการดังกล่าวข้างต้น อาจเกิดเพียงอาการเดียว หรือหลายอาการร่วมกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่สูญเสียหน้าที่ไป บางรายอาจจะเกิดอาการเพียงชั่วขณะแล้วดีขึ้น แต่ไม่ควรนิ่งนอนใจ ไม่ควรรอดูอาการ ให้นำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยทันที เพื่อเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา ลดความเสี่ยงการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้

พบอาการผิดปกติ เจ็บป่วยฉุกเฉิน โทร : 1669 (โทรฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)


ดูแล และป้องกันโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป
สอบถาม | ปรึกษา เรื่องสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง : คุณวิทย์ และคุณณัฐ
โทร : 097-126-6110
Line : @GEL88 (ใส่ @ ด้วยนะคะ)

หรือแอดไลน์อัตโนมัติ คลิกที่นี่ >> https://line.me/R/ti/p/~@gel88

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ผลไม้มงคลต่อชีวิต ดีต่อไต




กิจกรรมประจำทุกปี ก่อนวันตรุษจีน คือ การจับจ่ายซื้อของไหว้ หรือที่เรียกว่า วันจ่าย นั่นเอง

🍒 ผลไม้มงคล ที่ใช้ในการไหว้ มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความหมายมงคลแตกต่างกันออกไป

และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ หลังจากไหว้เสร็จ เราก็นิยมรับประทานอาหารหรือผลไม้ที่เราใช้ไหว้ เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตัวเองและครอบครัว

••••••••••••

วันนี้เรามาดูกันว่า ผลไม้มงคลอะไรบ้าง ที่ผู้ป่วยไตสามารถรับประทานได้ โดยไม่เป็นผลเสียต่อไตของเรา

🍎 แอปเปิ้ล หมายถึง สันติสุข สันติภาพ การเป็นอยู่ที่สงบสุข ไร้ความวุ่นวาย ไร้โรคภัยใด ๆ มาเบียดเบียน

🍐 สาลี่ หมายถึง ความมั่นคง การพบเจอโชคลาภและสิ่งดี ๆ ในชีวิต

🍍 สับปะรด หมายถึง โชคลาภที่จะได้มา

🍇 องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (ผู้ป่วยไต ควรทานเฉพาะองุ่นเขียว)

✅ โดยที่ผลไม้แต่ละอย่าง ควรรับประทาน มื้อละ 6-8 ชิ้นคำเท่านั้น (ไม่ควรบริโภคมากเกินไป)

⛔️ และยังมีผลไม้มงคลอย่างอื่นอีก เช่น กล้วย ส้ม แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้ป่วยไต เพราะเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง

🚨 ผู้ป่วยไตรับประทานโพแทสเซียมมากเกินไป อาจส่งผลต่อหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานผิดปกติได้

👉 สอบถามเพิ่มเติม : 
การดูแลผู้ป่วยโรคไต จากผู้เชี่ยวชาญ 
Line : @GEL88
Tel : 097-126-6110

หรือศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคไต
http://www.แก้โรคไต.com

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

โรคไต ค่าเลือดบอกอะไร เราได้บ้าง ?? : เรื่องสุขภาพต้องรู้

ผู้ป่วยโรคไตหลายท่านไปตรวจสุขภาพ กับคุณหมอมา แล้วได้รับใบตรวจผลเลือดจากโรงพยาบาล
แต่ไม่ทราบว่า ค่าต่างๆ แต่ละค่า บอกอะไรเราได้บ้าง เกี่ยวกับสุขภาพของเรา
วันนี้เรามาดูกันค่ะ ว่า..ค่าเลือดบอกอะไรเราได้บ้าง

สำหรับโรคไตค่าเลือดที่ต้องสังเกตหลักๆเลย มีอยู่ 3 ค่าด้วยกัน
1. ค่า Creatinine หรือ Cr บางทีหมอชอบเรียกว่า "ค่าของเสีย"ในเลือด ค่านี้โดยปกติจะอยู่ที่ 0.6-1.3 mg./dl ค่านี้ถ้าเกิน 1.5 ขึ้นไป แสดงว่า ไตของเราเริ่มทำงานผิดปกติ เนื่องจากไตทำหน้าที่ในการขับของเสีย หรือของเกินความจำเป็นออกจากร่างกาย ถ้าค่า Cr นี้เกิน 1.5 mg./dl ขึ้นไป แสดงว่า ตอนนี้ร่างกายของเรามีอาการของเสียคั่งค้างในร่างกาย ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ว่าไตของเราทำงานผิดปกติ เพราะฉะนั้นผู้ป่วยโรคไต ที่ไม่ควบคุมอาหาร หรือคุมอาหารบ้างไม่คุมบ้าง ค่า Cr นี้จะพุ่งขึ้นสูง ดังนั้นให้เรากลับมาปรับเรื่อง การควบคุมอาหารให้ดี

2. ค่า BUN (ฺBlood Urea Nitrogen) ค่านี้ คือ ค่าปริมาณยูเรียไนโตรเจนในเลือด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยสลายเผาผลาญโปรตีน และจะมีของเสีย (ยูเรีย) เกิดขึ้น ค่าปกติจะอยูที่ประมาณ 8-20 mg./dl ถ้าค่านี้มากเกิน 20 mg./dl ขึ้นไป แสดงว่า ไตของเราเริ่มมีปัญหาในการขับยูเรียออก เพราะฉะนั้นก็จะมีของเสียยูเรียอยู่ในเลือดในปริมาณที่สูง ให้เราลองกลับมาปรับเรื่องอาหารจำพวกโปรตีน สังเกตว่าเรารับประทานโปรตีนมากเกินไปหรือไม่ แนะนำให้เปลี่ยนไปรับประทานโปรตีนดี (คือเมื่อย่อยสลายเผาผลาญแล้ว เกิดของเสียน้อยกว่าโปรตีนประเภทอื่น) เช่น เนื้อปลา และไข่ขาว เป็นต้น

3. ค่า eGFR หรือ GFR คือ ค่าประสิทธิภาพการทำงานของไต ค่านี้ได้มาจากการนำค่า Creatinine (Cr) มาผ่านการคำนวณพร้อมกับเพศ อายุของตัวเรา จึงจะได้เป็นค่าประสิทธิภาพการทำงานของไตออกมา โดยค่าปกติวัยหนุ่มสาว จะมีค่าประสิทธิภาพการทำงานของไตอยู่ที่ 100 ขึ้นไป และถ้าเริ่มมีอาการของโรคไตค่านี้ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งค่านี้จะใช้ในการบ่งบอกระยะของไตได้อีกด้วย โดยโรคไต มีทั้งหมด 5 ระยะตามตาราง
ถ้าค่า GFR มีค่าน้อยลงในแต่ละรอบการตรวจ แสดงว่า การทำงานของไตเราแย่ลงเรื่อยๆ ให้เรากลับมาพิจารณา ดูเรื่อง การรับประทานอาหาร ในแต่ละวัน ว่าเรารับประทานอะไรเข้าไปบ้าง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โซเดียมสูง โพแทสเซียมสูง ฟอสฟอรัสสูง ลดอาหารที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง และเลือกทานโปรตีนชนิดดี


อย่าลืมว่า การควบคุมอาหารได้ดีและถูกต้อง จะมีส่วนช่วยลดภาระในการทำงานของไตเรา ไม่ทำให้ไตต้องทำงานหนักจนเกินไป และประท้วงหยุดทำงานไปในที่สุด

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดี อายุยืนยาวนะคะ

*********
ถ้าเห็นว่าดี อย่าลืมกด like
ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ อย่าลืมกด Share
*********
สอบถามเพิ่มเติมสารอาหารดูแลไต
Line ID : @GEL88 👇 หรือแอดไลน์ที่นี่
👉 http://line.me/ti/p/~@GEL88
Tel : 097-126-6110
หรือศึกษาข้อมูลผ่านเว็บไซต์
👉 https://kidneycare.page.link/umi

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

"หัวใจล้มเหลว" ใช้ชีวิตอย่างไรให้ "มีสุข"

"หัวใจล้มเหลว" ใช้ชีวิตอย่างไรให้ "มีสุข"

บางท่านคิดว่าเมื่อป่วยเป็นโรคหัวใจแล้ว ชีวิตต่อจากนี้คงไม่มีความสุข แต่จริงๆแล้ว รู้ไหมคะ ว่า เรายังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิม แถมมีความสุขอีกด้วย วันนี้เรามีเคล็ดลับมาฝากกันค่ะ

หมั่นสังเกตอาการตนเอง
คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองเป็นประจำ เช่น มีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปหรือไม่ การที่น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงเร็ว อาจเกิดจากอาการบวมน้ำ หรือสังเกตอาการบวมของร่างกาย อาการหน้ามืด อาการเหนื่อยผิดปกติ
งดสูบบุหรี่ งดดื่มสุราและแอลกอฮอล์ทุกชนิด
บุหรี่ สุรา และแอลกอฮอล์ นอกจากจะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังเป็นตัวกระตุ้นหัวใจ ทำให้หัวใจทำหนักมากกว่าปกติอีกด้วย เพราะฉะนั้นคนที่ปัญหาโรคหัวใจ ควรงดเด็ดขาด
ออกกำลังกายอย่างพอดีเป็นประจำ ผู้ที่มีปัญหาหัวใจ ไม่ควรออกกำลังกายแบบหักโหม หรือหนักจนเกินไป เมื่อรู้สึกเหนื่อย อย่าฝืน ให้หยุดพัก และควรมีการวอร์มออกกำลังกาย และคูลดาวน์ร่างกายหลังออกกำลังกายทุกครั้ง
ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
  • ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไป และควรลดอาหารที่มีโซเดียมสูง เนื่องจากจะทำให้ร่างกายสะสมน้ำมากกว่าปกติ และเกิดอาการบวมน้ำได้
  • ไม่ควรดื่มน้ำน้อยเกินไป เพราะทำให้เลือดข้น ร่างกายขาดน้ำ เลือดไหลเวียนไม่สะดวก


หลีกเลี่ยงความเครียด ทำใจให้สบาย เรื่องใดที่เป็นกังวลใจอยู่ ให้ปล่อยวางทิ้งไปบ้าง รู้จักให้อภัย เพราะความเครียดจะทำให้หัวใจทำงานหนัก ฝึกนั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ ผ่องใส
รับประทานอาหารที่ดี และมีประโยชน์ต่อหัวใจ ควรรับประทานอาหารที่ดี ลดปริมาณของมัน ของทอด แป้ง และอาหารที่เค็ม หรือมีโซเดียมสูง อีกทั้งควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจเป็นประจำเพื่อส่งเสริมการทำงานของหัวใจให้ดี และช่วยฟื้นฟูหัวใจให้ทำงานเป็นปกติมากขึ้น สารอาหารหลักๆที่บำรุงหัวใจ ได้แก่ แอลคาร์นิทีน, ทอรีน, โคคิวเท็น, กรดโฟลิก, ซีลีเนียม, โพลิโคซานอล, เห็ดนางรม
ข้อที่สำคัญ อย่าลืมรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง และไปพบแพทย์ตามกำหนดทุกครั้ง
------------------------------------------------
HRT อาหารเสริมบำรุงหัวใจ ที่บุคลากรทางการแพทย์ให้การยอมรับ
❤️ ส่วนประกอบสำคัญ ในผลิตภัณฑ์ HRT มีส่วนผสมจากผลวิจัยทางการแพทย์ ว่าช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ถึง 7 ชนิดใน 1 ซอง ❤️1. L-CARNITINE : ช่วยเพิ่มพลังให้กับหัวใจ ❤️2. TAURINE : เป็นกรดอะมิโนของหัวใจ ❤️3. CoQ-10 : ช่วยในเรื่องความดันโลหิตสูง ต่อต้านการเต้นผิดปกติของหัวใจ ❤️4. FOLIC ACID : ปรับระดับโฮโมซิสเตอินให้เหมาะสม (ปกติ < 15, เหมาะสม < 8 mmol/l) ❤️5. SELENIUM : ช่วยลดอัตราหัวใจล้มเหลว ❤️6. POLICOSANAL : ช่วยลดคอเลสเตอรอล ไขมันเลว ❤️7. Oyster Mushroom : ช่วยลดไขมันในเลือด ฟังเรื่องจริงจาก คุณหมอโรคหัวใจ ที่เป็นโรคหัวใจ พูดถึง HRT ว่าช่วยคุณได้อย่างไร

*********
ถ้าเห็นว่าดี อย่าลืมกด like 
ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ อย่าลืมกด Share
*********
สอบถามเพิ่มเติมสารอาหารบำรุงหัวใจ
Line ID : @GEL88 👇 หรือแอดไลน์ที่นี่ 
👉 http://line.me/ti/p/~@GEL88
Tel : 097-126-6110
หรือศึกษาข้อมูลผ่านเว็บไซต์
👉https://gelhrt.page.link/hrt

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

อาการโรคไตระยะสุดท้าย !!

🌿 อาการของคนที่เป็นโรคไตระยะสุดท้าย 🌿
❌ จะรู้สึกคันตามผิวหนังที่แตกแห้ง 
❌ อาเจียน ซึม ชักกระตุก (เกิดจากของเสียคั่งในร่างกาย) 
❌ ปัสสาวะมีฟอง (เพราะโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ) 
❌ บวม (เพราะโซเดิยมอมน้ำไว้ และไตไม่สามารถขับออกมาได้ 
ซึ่งเมื่อไหร่ที่ปัสสาวะน้อยลง ก็จะทำให้น้ำในร่างกายมีมากขึ้น 
จนเอ่อล้นท่วมปอด ทำให้เกิดอาการหัวใจวายได้ ) 
❌ เป็นตะคริวอยู่เสมอ (ร่างกายเสียสมดุลของเกลือแร่)

อาการที่กล่าวมา สามารถฟื้นฟูได้
ด้วย Agel UMI สาหร่ายสีน้ำตาลจากทะเลน้ำลึก
ศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ UMI
http://www.แก้โรคไต.com

 #ไตวายเรื้อรัง #ไตวาย #โรคไต #บำรุงไต

ปรึกษา | สอบถาม | สั่งซื้อ
จากผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ : คุณชิ
Line : UmiGood
แอ๊ดไลน์อัตโนมัติคลิ๊กที่นี่ >> http://line.me/ti/p/~UmiGood


วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เกลือ หรือ โซเดียม ภัยเงียบแฝงในอาหาร

⛔️ "เกลือ หรือ โซเดียม" ⛔️ 
ภัยเงียบที่อยู่ในอาหารแทบทุกชนิด

วันนี้คุณ "ติดเค็ม" หรือทานโซเดียมเยอะเกินไปหรือไม่ !!

ร่างกายต้องการเกลือ(โซเดียม)
🚨 วันละไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัม 🚨
🚨 หรือประมาณ 1 ช้อนชา 🚨


การได้รับโซเดียมมากเกินไป 
เป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคต่างๆ

1. โรคอ้วน ร่างกายมีอาการบวมน้ำ
2. เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
3. เสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวาย
4. เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
5. เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน


ฟังจากปาก Woody เกิดมาคุย
พูดถึงอันตรายจากเกลือหรือโซเดียมที่แฝงในอาหาร

>> https://youtu.be/EQNNmhS3yPQ <<

ทานอาหารถูกวิธี เป็น "ยา"
ทานอาหารไม่คิด เกิด "โทษมหันต์"

ปรึกษา | สอบถาม |
จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ : คุณชิ 
Line : @GEL88 
แอ๊ดไลน์อัตโนมัติคลิ๊กที่นี่ >> http://line.me/ti/p/~@GEL88

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

กินอาหารใส่ภาชนะ "โฟม" เสี่ยงโรคมะเร็ง


"โฟม" เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ผลิตจากพลาสติกประเภทโพลีสไตรีน (Polystyrene: PS)
ถ้าถูกนำไปใช้บรรจุอาหารที่ร้อนจัด และอาหารทอดที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ
จะเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้สารอันตรายแตกตัวออกมาปนเปื้อนกับอาหาร ได้แก่ สารเบนซีน(Benzene)
ที่หากดื่ม หรือกินอาหารที่มีสารเบนซีนปนเปื้อนสูงจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง
เนื่องจากกระเพาะถูกกัดกร่อน เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้


แต่ที่เป็นอันตรายที่สุด คือ “สารสไตรีน”(Styrene)
ที่มีพิษทำลายไขกระดูก ตับ และไต ทำให้ความจำเสื่อม
มีผลต่อการเต้นของหัวใจ และเป็นสารก่อ “มะเร็ง”
โดยอาจก่อให้เกิดมะเร็งเส้นเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้

สำหรับ “เส้นทางมะเร็ง” จากสารสไตรีนในกล่องโฟมจะเข้าสู่ร่างกายได้จาก 5 ปัจจัย ได้แก่
1. อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ทำให้สไตรีนซึมเข้าสู่อาหารได้สูง
2. ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชูแอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ
3. ถ้าชื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นานๆ ไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก
4. ถ้านำอาหารที่บรรจุในกล่องโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก 
5. ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมากๆ รวมถึงร้านใดที่ตัด “ถุงพลาสติกใส” รองอาหาร
จะได้รับสารก่อมะเร็งถึง “2 เด้ง” ทั้งสไตรีน จากโฟม และไดออกซิน จากถุงพลาสติก
 “หากรับประทานอาหารจากกล่องโฟม วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันนาน 10 ปี มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า ที่สำคัญกล่องโฟมทนความร้อนได้เพียง 70 องศาเซลเซียส แต่สิ่งที่เราทานกันเป็นประจำ เช่น ข้าวผัด หรือผัดกะเพรา เป็นต้น ล้วนมีความร้อนเกินมาตรฐานกำหนด ส่งผลให้สารอันตรายปนเปื้อนออกมากับอาหารในปริมาณสูง"

ที่มาข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ชมคลิปวีดีโอความอันตรายของภาชนะโฟมใส่อาหาร





รู้แบบนี้แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการใส่อาหารในภาชนะโฟมนะคะ ทำไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ลดก็ยังดีค่ะ